บทสรุปของโพสต์โดย durumis AI
- แอปเปิ้ลอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ เช่น โพแทสเซียม เพกติน และฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีส่วนช่วยในการดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันโรคเบาหวาน บำรุงผิวพรรณ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- โดยเฉพาะคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระและช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้แอปเปิ้ลมีส่วนช่วยในการดูแลสุขภาพระบบทางเดินหายใจ ช่วยควบคุมน้ำหนัก ดูแลสุขภาพฟันและเหงือก จึงถือเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีเยี่ยม
- อย่างไรก็ตาม การรับประทานแอปเปิ้ลในปริมาณมากก่อนนอนอาจทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อยและนอนไม่หลับได้ และผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารควรรับประทานด้วยความระมัดระวัง
บทความนี้จะมาแนะนำประโยชน์ของแอปเปิ้ล 8 ข้อ ที่คุณควรรับประทานเป็นประจำ แอปเปิ้ลนั้นมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย อุดมไปด้วยใยอาหารและวิตามินซี รวมถึงสารอาหารอื่นๆ ที่ช่วยป้องกันโรคต่างๆ มาดูกันว่าการกินแอปเปิ้ลอย่างสม่ำเสมอจะส่งผลดีต่อร่างกายอย่างไรบ้าง
1. ช่วยดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
แอปเปิ้ลมีโพแทสเซียมที่ช่วยขับโซเดียมออกจากร่างกาย และมีใยอาหารชนิดละลายน้ำสูง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด นอกจากนี้ยังมีสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยลดความดันโลหิต
โพแทสเซียมในแอปเปิ้ลช่วยป้องกันการสะสมของโซเดียมและน้ำในร่างกายมากเกินไป จึงถือเป็นผลไม้ที่ดีต่อผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง
และยังช่วยป้องกันโรคหัวใจได้อีกด้วย โดยเฉพาะสารเอพิแคเทชิน (Epicatechin) ที่มีส่วนช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงถือเป็นอาหารที่ส่งเสริมสุขภาพหลอดเลือดอย่างแท้จริง
2. ช่วยป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2
ผู้ที่กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล พบว่ามีโอกาสเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กินถึง 25-30% ทีมวิจัยคาดว่าสารโพลีฟีนอล (Polyphenol) ในแอปเปิ้ลช่วยป้องกันความเสียหายต่อเซลล์เบตาในตับอ่อน ดังนั้นการกินแอปเปิ้ลทุกวันจึงมีส่วนช่วยในการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานได้เป็นอย่างดี
3. ดูแลผิวพรรณและป้องกันอาการท้องผูก
แอปเปิ้ลอุดมไปด้วยเพกติน (Pectin) ซึ่งเป็นใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำและละลายน้ำ เพกตินช่วยให้การทำงานของลำไส้เป็นปกติ ช่วยป้องกันอาการท้องผูก
นอกจากนี้ยังช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้ผิวพรรณดูสดใส ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใส ป้องกันริ้วรอยก่อนวัย และสารอาหารต่างๆ ในแอปเปิ้ลยังช่วยขจัดสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกจากรูขุมขน ช่วยลดปัญหาสิวได้อีกด้วย
4. ต้านมะเร็งและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
ฟลาโวนอยด์ในแอปเปิ้ลช่วยกระตุ้นการสร้างสารต้านมะเร็ง ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะสารไตรเทอร์พีนอยด์ (Triterpenoid) ที่มีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งเต้านม นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
5. กระตุ้นการทำงานของลำไส้
เพกตินช่วยเพิ่มไขมันที่ดีต่อร่างกาย ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ และโพลีฟีนอลช่วยกระตุ้นการสร้างสารต้านมะเร็งในลำไส้ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของแบคทีเรียชนิดดีอย่างบิฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค
นอกจากนี้ เพกตินยังช่วยขจัดสารพิษ โลหะหนัก และสารก่อมะเร็งออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในยุคที่มลภาวะเป็นปัญหาสำคัญ ทำให้ร่างกายได้รับโลหะหนักสะสม จึงควรบริโภคแอปเปิ้ลอย่างสม่ำเสมอ
6. ช่วยดูแลระบบทางเดินหายใจ
สารต้านอนุมูลอิสระในแอปเปิ้ลมีส่วนช่วยดูแลสุขภาพปอด ผลการวิจัยหลายชิ้นพบว่าผู้ที่กินแอปเปิ้ลเป็นประจำมีโอกาสเกิดโรคระบบทางเดินหายใจน้อยกว่า ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษพบว่า ผู้ที่กินแอปเปิ้ลอย่างน้อย 2 ผลต่อสัปดาห์ มีโอกาสเกิดโรคหอบหืดลดลงกว่า 20%
ซึ่งเกิดจากสารเคอร์เซทิน (Quercetin) และฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยเสริมสร้างและฟื้นฟูการทำงานของปอด ช่วยบรรเทาและป้องกันอาการของผู้ที่เป็นโรคระบบทางเดินหายใจอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดได้ถึง 44% ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจจึงควรรับประทานแอปเปิ้ลเป็นประจำ
7. ช่วยควบคุมน้ำหนัก
ใยอาหารในแอปเปิ้ลช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน จึงช่วยลดน้ำหนักและควบคุมน้ำหนักได้
8. ดูแลสุขภาพฟันและเหงือก
ควรทานแอปเปิ้ลพร้อมกับเปลือก เพราะเปลือกแอปเปิ้ลช่วยขจัดคราบแบคทีเรียและสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ระหว่างซี่ฟัน ช่วยป้องกันโรคเหงือกอักเสบและรักษาสุขภาพช่องปากให้แข็งแรง
นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการปากแห้งและมีคราบขาวในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำลาย ผู้ที่น้ำลายน้อยก็ควรทานแอปเปิ้ลเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แอปเปิ้ลก็มีข้อควรระวังเช่นกัน ใยอาหารในแอปเปิ้ลหากรับประทานมากเกินไปก่อนนอน อาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานมากเกินไป ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานไม่ดี มีแก๊สในท้องมาก และรบกวนการนอนหลับ ดังนั้นจึงไม่ควรรับประทานแอปเปิ้ลก่อนนอน 2 ชั่วโมง
และกรดในแอปเปิ้ลอาจทำให้เกิดอาการแสบร้อนในกระเพาะอาหารได้ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารควรเริ่มรับประทานในปริมาณน้อยๆ ก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้น ขอให้ทุกท่านรับประทานแอปเปิ้ลอย่างถูกวิธีเพื่อสุขภาพที่ดี